กรุงเทพ, ประเทศไทย (12 มีนาคม 2564) – การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง หรือ MoU กับ นิสสัน ประเทศไทย และตัวแทนบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ เพื่อร่วมมือกันสนับสนุนพัฒนาสถานีประจุไฟฟ้าและแพลตฟอร์มสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่สังคมยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าอย่างยั่งยืน

ความร่วมมือดังกล่าวครอบคลุม ทั้งการพัฒนา และติดตั้งสถานีประจุไฟฟ้า การร่วมสร้างสรรค์แอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้อง การเชื่อมโยงข้อมูล และการสร้างสรรค์กิจกรรมส่งเสริมการขายที่น่าสนใจร่วมกันในอนาคต

ราเมช นาราสิมัน ประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “อุปสรรคสำคัญที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า คือความกังวลว่าพลังไฟฟ้าจะหมดระหว่างทางก่อนไปถึงสถานีประจุไฟฟ้า และความกังวลต่อระบบแท่นชาร์จสาธารณะที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งเรามุ่งมั่นแก้ปัญหาดังกล่าว โดยการร่วมมือกับ กฟผ. และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำในวันนี้ นับเป็นเกียรติและโอกาสอันดีที่ นิสสัน จะได้ร่วมใช้ความสามารถในฐานะผู้นำด้านพลังงานไฟฟ้า ในการสร้างสรรค์ระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมและเกิดขึ้นจริงทั่วประเทศไทย อันจะนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดสู่ลูกค้าของเราทุกคน”

โดยจากผลการศึกษาล่าสุดของนิสสัน ที่จัดทำขึ้นโดย ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน พบว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ผู้บริโภคมีความตระหนักรู้ ความเข้าใจ และความต้องการด้านรถยนต์ระบบไฟฟ้ามากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจากการวิจัยพบว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดต่อการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคประเทศไทย คือความจำเป็นต้องมีสถานีประจุไฟฟ้าภายในบริเวณที่พักอาศัย และระบบแท่นชาร์จไฟฟ้าตามแหล่งสาธารณะ มากยิ่งขึ้น จากผลศึกษาดังกล่าว ทางนิสสัน มุ่งมั่นพัฒนาและผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาดังกล่าว ทั้งการสนับสนุนการประยุกต์เทคโนโลยีการขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าไปใช้จริง ซึ่งล้วนสอดคล้องกับการดำเนินงานตามบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้

โดยหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในการผลักดันสังคมขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า คือการที่นิสสัน ได้ใช้เทคโนโลยีและประสบการณ์ในวงการกว่าหลายสิบปี เพื่อพัฒนาและนำเสนอรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% อย่าง นิสสัน ลีฟ (Nissan LEAF) รวมถึงรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ (e-POWER) ทุกรุ่น ซึ่งล้วนได้รับผลตอบรับที่ดีจากยอดขายกว่าหนึ่งล้านคันทั่วโลกภายในปี พ.ศ. 2564

“ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน นิสสัน พบว่ามีผู้บริโภคมองหาเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการและข้อจำกัดในปัจจุบัน ซึ่งเราได้พัฒนาและนำเสนอเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ (e-POWER) เทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์การขับขี่เหมือนขับรถยนต์ไฟฟ้า โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จไฟฟ้า ซึ่งนับเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ผู้บริโภคเกิดการปรับตัวก่อนเข้าสู่สังคมขับเคลื่อนด้วยยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบในอนาคต” ราเมช กล่าวอธิบาย ภายในงานลงนาม ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์

นิสสันเริ่มบทบาทในการผลักดันสังคมไทยด้วย นิสสัน ลีฟ รถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกสำหรับตลาดมวลชนของโลก และนิสสัน ลีฟ เจนเนอเรชั่นที่ 2 เปิดตัวทำตลาดในประเทศไทยปี พ.ศ. 2561 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของนิสสัน ในการลดการปล่อยมลพิษ รวมถึงยังเป็นเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า 100% เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม และสังคมไทยในวงกว้าง โดย นิสสัน ทั่วโลก ได้ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศให้เป็นศูนย์ ทั้งในส่วนดำเนินงานของบริษัทฯ รวมถึงการทำงานตลอดวงจรชีวิตของทุกผลิตภัณฑ์ของนิสสัน 

นอกจากนี้ นิสสัน ประเทศไทย ยังได้ลงทุนในโรงงานในจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อให้สามารถผลิตเทคโนโลยีอี-พาวเวอร์ (e-POWER) ได้ในปี พ.ศ. 2562 และ 2563 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกที่สำคัญของนิสสัน และตอกย้ำการเป็นผู้นำการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ด้านพลังงานไฟฟ้าของบริษัทฯ ในระดับภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย

“นิสสันเชื่อว่าอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศของโลก ซึ่งบริษัทผู้ผลิตสามารถร่วมกันผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรมตลอดจนพัฒนาการดำเนินการให้สามารถลดผลกระทบต่าง ๆ ได้จริง โดยความร่วมมือระหว่าง นิสสัน และหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงพันธมิตรต่าง ๆ ในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของนิสสัน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาสังคมการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยให้เกิดขึ้นได้จริง และนิสสัน ยังเชื่อมั่นอีกว่า การร่วมมือกันกับ กฟผ.และค่ายรถยนต์ชั้นนำระดับโลก จะเป็นการต่อยอดเพื่อช่วยแก้ปัญหามลภาวะได้อย่างยั่งยืนต่อไป” ราเมช กล่าวสรุป

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การบริการ และความมุ่งมั่นในการนำเสนอยานยนต์เพื่อความยั่งยืน สามารถติดตามได้ที่ nissan-global.com, Facebook, Instagram, Twitter, LinkedIn และรับชมวิดีโอล่าสุดที่ YouTube