ใบปัดน้ำฝน

โดยทั่วไปแล้วอายุการใช้งานของใบปัดน้ำฝนอย่างมีประสิทธิภาพจะอยู่ที่ประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และชนิด รวมถึง คุณภาพของยางของใบปัดน้ำฝน แต่ส่วนใหญ่ผู้ใช้รถยนต์ทั่วไปจะละเลยการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนแม้ใบปัดน้ำฝนจะเสื่อมสภาพแล้ว ซึ่งการใช้ใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพนั้นอาจจะส่งผลเสียไปถึงชิ้นส่วนอื่นๆ ได้ เช่น กระจกหน้ารถอาจจะเป็นรอยได้  นอกจากนั้นหากใช้ใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพในช่วงที่ฝนตกหนักจะยิ่งทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นแย่ลง  ซึ่งอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้

ปัจจัยที่ทำให้ใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ ได้แก่ ความร้อนจากแสงแดดที่ส่องลงมาสะสมอยู่ในกระจก ซึ่งจะทำให้ใบปัดน้ำฝนที่ทำจากยาง กรอบ เสียความยืดหยุ่นและเสื่อมคุณภาพลงเรื่อย ๆ  อีกหนึ่งปัจจัยคือเกิดจากการใช้งาน เช่น กรณีที่ฝุ่นจับที่ยางปัดน้ำฝนก็จะเกิดความสึกหรอขึ้นได้ เหมือนการเอากระดาษทรายไปขัดกระจกและยางปัดน้ำฝน

สำหรับวิธีการสังเกตว่าถึงได้เวลาหรือยังที่จะต้องเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน โดยดูง่ายๆ ว่าการทำงานของใบปัดน้ำฝนนั้นปัดสะอาดหรือไม่ ลักษณะของการปัดน้ำฝนไม่สะอาดอันเนื่องมาจากการใช้ใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพ หรือติดตั้งผิดวิธี คือ จะเกิดละอองน้ำเป็นสันครึ่งวงกลมหรือแถบเส้น และหลังจากที่ปัดกระจกแล้วยังมีละอองน้ำเป็นเส้นสันครึ่งวงกลม หรือเป็นม่านบนกระจกและมัว ซึ่งเกิดจากการใช้ยางปัดที่มีอาการแข็งจนกรอบแตก จนทำให้ไม่สามารถปาดน้ำจากหน้ากระจกได้สะอาด หรือไม่สามารถจะรีดเอาน้ำออกจากกระจกได้หมด อีกลักษณะหนึ่งของการใช้ใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพคือจะมีเสียงดังรบกวน ใบปัดจะมีเสียงดังเอี๊ยดๆ และมีอาการกระตุกขณะทำงาน ซึ่งเกิดจากการเสียดสีระหว่างใบปัดน้ำฝนกับหน้ากระจก

นอกจากความเสียหายที่มองเห็นจากภายนอกได้อย่างชัดเจน เช่น การฉีกขาด หรือการสึกหรอแล้ว ยังมีอาการต่างๆ ในขณะใช้งานที่บ่งบอกว่าควรเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนใหม่ได้แล้ว ดังนี้

• ที่ปัดน้ำฝนทำงานสะดุด มีการทำงานไม่ราบเรียบขณะใช้งาน 
  
• มีเสียงเสียดสีในขณะทำงาน 
• เมื่อปัดน้ำฝนแล้วเกิดริ้วตามแนวปัด 
• ไม่สามารถปาดคราบน้ำได้หมดจด เกิดรอยแยกชัดเจนในขณะปัดน้ำฝน

เมื่อที่ปัดน้ำฝนถูกใช้งานมานานไม่ว่าจะเพื่อปัดน้ำฝนตามชื่อเรียกหรือล้างคราบสกปรกบนกระจก ที่ปัดน้ำฝนก็มักจะมีสิ่งสกปรกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคราบฝุ่น โคลน หรือแม้แต่ขี้นกติดอยู่ ซึ่งสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้สามารถทำให้ที่ปัดน้ำฝนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพอย่างที่เคย อีกทั้งเป็นสาเหตุบั่นทอนอายุการใช้งานได้ ดังนั้นจึงควรทำความสะอาดยางบนที่ปัดน้ำฝนอย่างสม่ำเสมอด้วยวิธีง่ายๆ คือ ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดตามแนวขอบยางที่ปัดน้ำฝนให้สะอาด

การจอดรถตากแดดนานๆ เป็นประจำจะทำให้ยางปัดน้ำฝนแข็งกรอบ ขาดความยืดหยุ่น เพราะยางต้องแนบกับกระจกที่รับความร้อน  ซึ่งจะส่งผลให้ยางที่ปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพได้ง่าย และหมดอายุการใช้งานเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงควรเลี่ยงการจอดรถตากแดด หรือหากจำเป็นต้องจอดรถตากแดดจริงๆ ก็ไม่ควรยกที่ปัดน้ำฝนขึ้น เพราะจะทำให้สปริงที่ก้านใบปัดน้ำฝนมีโอกาสเกิดอาการล้า และทำให้แรงกดบนกระจกลดลง อาจทำให้ประสิทธิภาพในการควบคุมการปัดน้ำฝนลดลง

สิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยดูแลที่ปัดน้ำฝนให้มีอายุการใช้งานยาวนานได้คือ หมั่นเปิดที่ปัดน้ำฝนและตรวจเช็กสภาพที่ปัดน้ำฝนทุกครั้งว่ายังสามารถใช้งานได้ตามปกติหรือไม่ พร้อมทั้งกดน้ำฉีดกระจกก่อนที่จะเริ่มขับรถออกไป เพราะไม่เพียงทำให้มองเห็นทางได้ชัดเจนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ยางที่ปัดน้ำฝนไม่แห้งแตกด้วย

การตรวจสอบหน้ายางของที่ปัดน้ำฝน ไม่เพียงแต่ดูว่ามีสิ่งสกปรกเกาะติดอยู่หรือไม่ เพื่อจะทำความสะอาดเท่านั้น แต่ยังควรจับดูหรือสังเกตดูว่ายางแห้ง แข็ง แตก หรือเป็นขุยหรือไม่ ซึ่งหากมีลักษณะดังกล่าวก็ควรเปลี่ยนใหม่

นอกจากการดูสิ่งสกปรกบนที่ปัดน้ำฝนแล้ว การตรวจสอบกระจกหน้ารถ รวมถึงกระจกหลังหากมีที่ปัดน้ำฝนติดตั้งอยู่เป็นอีกสิ่งที่ควรหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอว่ามีเศษดิน เศษหิน รอยแตก หรือรอยร้าวที่จะทำให้เกิดความเสียหายกับที่ปัดน้ำฝนเมื่อใช้งานหรือไม่